ICT เปิดเว็บ e-Biz หนุนผู้ประกอบการ
ICT เปิดเว็บ e-Biz หนุนผู้ประกอบการ

 นายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยความคืบหน้าโครงการพัฒนาระบบทะเบียนกลางทางธุรกิจ (National e-Business Registry : e-Biz) ว่า ภายหลังจากกระทรวงฯ ได้ดำเนินโครงการพัฒนาระบบทะเบียนกลางทางธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2552 นั้น ขณะนี้ กระทรวงฯ ได้พัฒนาระบบทะเบียนกลางทางธุรกิจดังกล่าวแล้วเสร็จ พร้อมเปิดบริการให้ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทย(ไอซีที) ได้เข้าไปลงทะเบียน และใช้งานระบบต่างๆ อย่างสมบูรณ์แล้ว               "ในการใช้งานระบบทะเบียนกลางทางธุรกิจ ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย อาทิ การประชาสัมพันธ์ข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ และสินค้าของผู้ประกอบการ รวมทั้งได้พื้นที่เว็บเพจฟรี เพื่อเก็บรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูลของผู้ประกอบการไอซีทีไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการฯ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล สำหรับผู้ประกอบการไอซีทีไทยที่มีความสนใจติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางดังกล่าวสามารถเข้ามาลงทะเบียนใช้บริการได้ฟรีที่เว็บไซต์ http://ebiz.mict.go.th"              ระบบทะเบียนกลางทางธุรกิจ หรือ e-Biz เป็นระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมและตลาดไอซีที สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ที่เก็บรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตสินค้า และการให้บริการของผู้ประกอบการไปสู่ผู้บริโภคผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต               โดยระบบดังกล่าว ประกอบด้วยระบบงานย่อย 10 ระบบ คือ 1.ระบบลงทะเบียนผู้ประกอบการธุรกิจ ไอซีที 2.ระบบจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์/บริการ 3.ระบบจัดการข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์ 4.ระบบจัดการข้อมูลการฝึกอบรมและสัมมนา 5.ระบบจัดการข้อมูลโครงร่างของเว็บไซต์ 6.ระบบจัดการข้อมูลการซื้อขาย 7.ระบบจัดการข้อมูลการจ่ายเงิน 8.ระบบจัดการข้อมูลพื้นฐาน 9.ระบบจัดการข้อความประกาศ และ10.ระบบรายงาน              สำหรับผู้ประกอบการที่ได้ลงทะเบียนในระบบ e-Biz จะได้รับสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การเผยแพร่ข่าวสารเพื่อประชาสัมพันธ์ผู้ประกอบการในหน้าเว็บไซต์ การเพิ่มข้อมูลผลิตภัณฑ์/บริการของผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสั่งซื้อสินค้าระหว่างกันในระบบได้ และยังจะได้รับพื้นที่สำหรับสร้างหน้าเว็บเพจของผู้ประกอบการได้ฟรี นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์/บริการของผู้ประกอบการที่มีมาตรฐานรับรอง และเป็นไปตามเกณฑ์ราคาพื้นฐานของกระทรวงฯ จะได้รับการประชาสัมพันธ์อยู่บนเว็บไซต์ทะเบียนกลางทางธุรกิจด้วย              "ในอนาคต กระทรวงฯ มีแนวทางที่จะพัฒนาให้ระบบ e-Biz ให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้งานทั่วไป รวมถึงสร้างระบบสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น เช่น การพัฒนาระบบให้สามารถทำธุรกรรมการจ่ายเงิน และติดตามการขนส่ง ผ่านระบบได้ โดยระยะต่อไปจะนำระบบ e-Biz เชื่อมต่อกับระบบ e-Market Place เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนไว้ในระบบ e-Biz เข้าสู่ระบบ e-Market Place ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการในตลาด ASEAN รวมทั้งจะมีการนำระบบ e-Biz เชื่อมต่อกับระบบ e-Government Procurement หรือ e-GP ของกรมบัญชีกลาง โดยเชื่อมต่อส่วนการลงทะเบียน ผู้ประกอบการระบบ e-Biz ให้สามารถที่จะใช้งานในระบบ e-GP ร่วมกันได้"

04 Mar 2554 10:48 ผู้ชม: 2302
3G แจ้งเกิดปลายปี รอ กสทช.ตัวจริงเห็นชอบ
3G แจ้งเกิดปลายปี รอ กสทช.ตัวจริงเห็นชอบ

ปฏิบัติหน้าที่แทน กสทช. ยกร่างแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติรอคณะกรรมการ กสทช. ตัวจริง หวังคลอด 3G บนความความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ได้ทันปลายปี 54 ขณะที่ MVNO ถ้าทำแค่รับซิมการ์ดมาขายแทนเจ้าของไลเซนส์ทำได้ทันที ส่วนกรณีสัญญาระหว่าง กสท กับกลุ่มทรูยันไม่ได้เกียร์ว่าง อ้างรายละเอียดกฎหมายมีมาก              พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ปฎิบัติหน้าที่แทนกรรมการกิจการโทรทัศน์ กิจการวิทยุกระจายเสียง และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การยกร่างแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ มีจุดประสงค์เพื่อให้แนวทางการพัฒนาโทรคมนาคมไทยเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้การจัดสรรการใช้งานคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และโปร่งใสเป็นธรรมกับทุกฝ่าย              ร่างฯ แผนแม่บททั้ง 2 ฉบับ จะต้องดำเนินการสอดคล้องกับพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ซึ่งการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าว จะต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกับแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ คาดว่า คณะอนุกรรมการ กทช. จะจัดทำร่างแผนแม่บททั้ง 2 ฉบับ น่าจะแล้วเสร็จในช่วงเวลาเดียวกับที่การสรรหาคณะกรรมการ กสทช. ประมาณเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้              พ.อ.นทีกล่าวว่า หากมีการจัดทำร่างฯ แผนแม่บทเสร็จแล้ว จะนำส่งให้กับคณะกรรมการกสทช.ชุดใหม่ทันที หากรับตามแผนนี้ทั้งหมดก็จะมีการจัดรับฟังความเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) จากประชาชน บุคคลภายนอก และนักวิชาการ จะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน จากนั้นอาจจะมีการแก้ไขรายละเอียด ซึ่งน่าจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3 เดือน จึงจะสามารถนำไปประกาศลงในราชกิจจานุเษกษาได้              เมื่อร่างแผนแม่บทแห่งชาติลงประกาศในราชกิจจานุเษกษา เชื่อว่าจะมีการจัดประมูลใบอนุญาต (ไลเซนส์) 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ได้ปลายปี 2554 ซึ่งจะถือเป็นการสร้างการแข่งขันที่เสรีกับผู้ประกอบการทุกราย และยกระดับการให้บริการด้านโทรคมนาคม เพิ่มขีดความสามาารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นได้มากขึ้น              “จุดประสงค์ของการออกใบอนุญาต 3G ไม่ใช่เพียงแค่จำกัดอยู่ในการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น แต้ยังเพิ่มสัดส่วนและปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือบรอดแบนด์ มากขึ้นด้วย"              ทั้งนี้ ร่างกรอบแนวทางของแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมฉบับนี้ ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนากิจการโทรคมนาคมในระยะ 5 ปีเอาไว้ด้วย คือ กระจายบริการบรอดแบนด์ด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที ครอบคลุมประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคไม่ต่ำกว่า 15% ของจำนวนประชากร การให้บริการบรอดแบนด็์ระดับความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาที ครอบคลุมประชากรที่อาศัยในเขตเมืองและชานเมืองมากกว่า 50% ของประชากรในประเทศ และในระดับความเร็ว 2 เมกะบิตต่อวินาที ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไม่น้อยกว่า 90% ของประชากรทั้งหมด              นอกจากนี้ ยังมีแผนที่กำหนดอัตราค่าบริการโทรคมนาคมเฉลี่ยในตลาดขายส่งและขายปลีกต่อบริการ (โฮลเซลล์-รีเทล) ทุกตลาด จะต้องลดลงไม่น้อยกว่า 28% และปัญหาข้อร้องเรียนในเรื่องคุณภาพของบริการ และการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ต้องได้รับการแก้ไขให้แล้วเสร็จเกินกว่า 85% และได้กำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนากิจการโทรคมนาคมใน 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์กระจายบริการบรอดแบนด์ ยุทธศาสตร์บริการโทรคมคมนาคมอย่างทั่วถึง ยุทธศาสตร์อัตราค่าบริการโทรคมนาคมลดลง และยุทธศาสตร์คุณภาพการให้บริการและคุ้มครองผู้บริโภค              พ.อ.นทีกล่าวถึงกรณีสัญญาระหว่าง กสท โทรคมนาคมกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ว่า คณะกรรมการ กทช. ทุกคนไม่ได้เกียร์ว่างเกี่ยวกับการสอบสัญญาการเปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G ในรูปแบบการอัปเกรดมือถือบนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์เดิมด้วยเทคโนโลยี HSPA ระหว่าง กสท และทรู แต่ประการใดเพียงแต่ข้อมูลและรายละเอียดด้านกฎหมายมีมาก และทางสำนักงาน กทช. ยังไม่สรุปเรื่องดังกล่าวเข้ามายังที่ประชุม จึงไม่สามารถสรุปอะไรที่เป็นทางการออกมาได้   

04 Mar 2554 10:41 ผู้ชม: 2167
จับนักการเมืองท้องถิ่นบุกรุกป่าสงวนหลาย 100 ไร่
จับนักการเมืองท้องถิ่นบุกรุกป่าสงวนหลาย 100 ไร่

ชุดเฉพาะกิจผู้ว่าราชการ จ.สงขลา ที่ 2 จับกุมผู้บุกรุกป่าได้ผู้ต้องหาเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น 1 คน ขณะที่พบพื้นที่ป่าถูกบุกรุกหลาย 100 ไร่ ชุดเฉพาะกิจผู้ว่าราชการ จ.สงขลา ที่ 2 พร้อมเครือข่ายภาคประชาชนกว่า 20 คนร่วมกันตรวจสอบป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขาวังพา ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมกับจับกุมนายประเสริฐ โชคผ่อง อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ได้พร้อมลูกจ้างกรีดยางจำนวนหนึ่ง เบื้องต้นพบพื้นที่ป่ามีการทำถนนให้รถจักรยานยนต์และรถขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถขับขึ้นไปบนเนินเขาสูงชัน และพบมีการสร้างบ้านพักไว้ในป่า 1 หลัง โดยพื้นที่ป่าถูกบุกรุกทำลายปลูกเป็นสวนยางพาราขณะที่บางส่วนให้ผลผลิตแล้วกว่า 300 ไร่ นายประเสริฐรับสารภาพว่า ได้บุกรุกป่ามานานแล้วโดยมีแรงงานชาวพม่าเข้ามาช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมในข้อหาบุกรุกป่ามาแล้ว 1 ครั้ง แต่เนื่องจากจำเป็นต้องเข้ามาดูแลและเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะในระยะนี้ราคายางสูงมาก ขณะที่นายประวิทย์ ทองประสม ประธานเครือข่ายประชาคมรักษ์ป่าต้นน้ำจังหวัดสงขลาบอกว่า ผืนป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขาวังพาซึ่งเป็นป่าต้นน้ำ ยังคงถูกบุกรุกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละจุดพบว่าถูกบุกรุกมานาน แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐเพิกเฉย จึงเรียกร้องให้รัฐบาลลงมาดูแลปัญหาป่าต้นน้ำอย่างจริงจังและใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้บุกรุก

28 Jan 2554 11:01 ผู้ชม: 2248
ศาลสั่งจำคุก 20 ปี ผู้ช่วยสัปเหร่อวัดไผ่เงิน
ศาลสั่งจำคุก 20 ปี ผู้ช่วยสัปเหร่อวัดไผ่เงิน

27 ม.ค.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาคดีที่ อัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุชาติ ภูมี อายุ 39 ปี และ นายสุเทพ ชะบางบอน อายุ 47 ปี สัปเหร่อวัดไผ่เงินโชตนาราม จำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานร่วมกันทำลาซ่อนเร้น พยานหลักฐานในการกระทำผิดช่วยให้ผู้อื่นไม่ต้องรับโทษทางอาญา กรณีนี้ สืบเนื่องจากจำเลย ทั้ง 2 ได้ร่วมกันรับซากศพทารกที่ถูกทำแท้ง 2,002 ศพ มาซุกซ่อน เพื่อทำลาย ที่โกดังเก็บศพของวัดไผ่เงินโชตนาราม โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดจริง จึงพิพากษาจำคุก รวม 2,002 กระทง กระทงละ 4 เดือน รวมต้องโทษจำคุก 8,008 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงโทษจำคุก 4,004 เดือน แต่ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดดังกล่าวจำคุกจำเลยได้สูงสุดเพียง 20 ปี ศาลจึงมีคำสั่งจำคุกจำเลยสูงสุดที่ 20 ปี อย่างไรก็ตาม คดีนี้ นายสุเทพ ชะบางบอน ให้การปฏิเสธ ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานอัยการ แยกสำนวนออกไป และให้ส่งสำนวนฟ้องภายใน 7 วัน

28 Jan 2554 10:58 ผู้ชม: 1707
ชาวบ้านริมคลองอู่ตะเภาฟื้นประเพณีตักบาตรทางน้ำนำร่องทุกวันพระ
ชาวบ้านริมคลองอู่ตะเภาฟื้นประเพณีตักบาตรทางน้ำนำร่องทุกวันพระ

ชาวบ้านที่อาศัยสองฝั่งคลองอู่ตะเภา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ร่วมกันฟื้นประเพณีตักบาตรทางน้ำ ซึ่งเป็นวีถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านเมื่อครั้งอดีตให้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่การตักบาตรทางน้ำเลือนหายไป โดยจะเริ่มนำร่องในทุกๆวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา              วันนี้ (15 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่สองฝั่งคลองอู่ตะเภา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ร่วมกันรื้อฟื้นประเพณีตักบาตรทางน้ำ ซึ่งเป็นวีถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านที่อยู่ริมคลองอู่ตะเภาเมื่อครั้งอดีตให้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่การตักบาตรทางน้ำเลือนหายไปเวลานาน เนื่องจากความเจริญ และไม่มีการใช้คลองอู่ตะเภาเป็นเส้นทางสัญจร โดยการรื้อฟื้นประเพณีตักบาตรริมน้ำจะเริ่มนำร่องในทุกๆวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา              โดยจะมีขึ้นที่ท่าน้ำหาดใหญ่ในบริเวณกองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.หาดใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านและเยาวชนคนรุ่นใหม่รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่งดงามของชาวบ้านที่เป็นชาวพุทธริมคลองอู่ตะเภาในอดีต เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไปและยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

15 Jan 2554 15:39 ผู้ชม: 2656
น้ำมันปาล์มทะลักจากมาเลย์วันละหลายหมื่นกิโลฯ
น้ำมันปาล์มทะลักจากมาเลย์วันละหลายหมื่นกิโลฯ

พ่อค้าแม่ค้าขายไก่ทอดยะลารับต้องเพิ่มทุนรายวัน หลังราคาน้ำมันปาล์มขึ้นราคากิโลกรัมละเกือบ 10 บาท ในขณะที่การลำเลียงน้ำมันปาล์มเถื่อนจากมาเลย์ยังทะลักมากับขบวนรถไฟวันละหลายหมื่นกิโลกรัม              วันนี้ (12 ม.ค.) นายอุดม ศรีสมทรง หัวหน้าการค้าภายใน จ.ยะลา ได้เดินทางไปตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มของแม่ค้าพ่อค้า ขายข้าวเหนียวไก่ทอด กล้วยทอด ในย่านคุรุหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ในเขตเทศบาลนครยะลา โดยได้สอบถามการใช้น้ำมันปาล์มในแต่ละวัน และที่มาของตลาดจำหน่ายน้ำมันปาล์ม พบว่าน้ำมันปาล์มที่ใช้ทั้งหมดมาจากพ่อค้าขายส่งที่นำน้ำมันปาล์มมาจากประเทศมาเลเซีย มาขายในราคาตั้งแต่ถุงละ (0.8-1 กก.) 48-55 บาท แล้วแต่ยี่ห้อและน้ำหนัก ซึ่งแต่ละแผงขายจะรับน้ำมันปาล์มแผงละ 6-8 ถุงต่อวัน              แต่สถานการณ์การขาดแคลนน้ำมันปาล์ม ในจังหวัดยะลายังไม่พบการขาดแคลนแต่อย่างใด เพียงแต่ราคาขายได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิมกิโลกรัมละ 8-9 บาทเท่านั้น ส่วนการใช้บริโภคในครัวเรือนส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันรำ จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการขาดแคลน              นางหยาด หมานแพทย์ แม่ค้าขายข้าวเหนียวไก่ทอด กล่าวว่า น้ำมันปาล์มในปัจจุบันยังไม่ขาดแคลน เนื่องจากมีพ่อค้าวิ่งขายส่งน้ำมันปาล์มที่ลักลอบจากมาเลเซียมาส่งทุกวัน แต่จะมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมกิโลกรัมหรือถุงละ 8-9 บาท ปัจจุบันการขายไก่ทอดมีผลกระทบในเรื่องของต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ขายให้ผู้ซื้อในราคาคงเดิม จึงทำให้มีผลกำไรหดลงวันละกว่า 200-300 บาท              เช่นเดียวกับ นายอาลี ผดุงผล พ่อค้าขายข้าวเหนียงไก่ทอด ในย่านหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวว่า ตนเองมาเปิดขายข้าวเหนียวไก่ทอดมานานกว่า 10 ปี แล้ว โดยได้อพยพมาจาก จ.กระบี่ มาทำอาชีพขายข้าวเหนียวไก่ทอด มาในปีนี้มีผลกระทบกับน้ำมันปาล์มขึ้นราคาแพงมาก ซึ่งเมื่อน้ำมันปาล์มขึ้นราคาไก่ และข้าวเหนียวก็ขึ้นราคาตามไปด้วย ในขณะที่การขายไก่ทอดให้กับลูกค้ายังคงขายในราคาคงเดิมอยู่              สมมุตว่าในอดีตวันหนึ่งขายได้กำไร 600 บาท แต่ปัจจุบันจะมีกำไรแค่ 300-400 บาท กำไรขาดไปเกือบร้อยละ 50 การใช้น้ำมันในอดีตจะใช้ 2 วันแล้วนำไปทิ้ง แต่ปัจจุบันต้องยึดการใช้บางครั้งไปเป็น 3 วัน เพื่อประหยัดน้ำมันในการทอด ตนเองลงทุนในแต่ละวันประมาณ 2,000 บาท แต่เมื่อน้ำมันขึ้นราคาทำให้ต้นทุนในแต่ละวันจะขยับขึ้นตามไปด้วย              นายอุดม ศรีสมทรง หัวหน้าการค้าภายในจังหวัดยะลา กล่าวว่า สถานการณ์การขายน้ำมันปาล์มนั้น โดยภาพรวมปริมาณสินค้าค่อนข้างจะขาดแคลนบ้าง แต่ยังพอกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่ น้ำมันปาล์มที่ใช้บริโภคในครัวเรือนนั้นน้อยมาก ยกเว้นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอาหารทอดที่ใช้จำนวนมากแต่ผู้ประกอบการในพื้นที่จะใช้น้ำมันปาล์มที่นำมาจากประเทศมาเลเซียมากกว่า เพราะต้นทุนต่ำและหาซื้อง่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการจะใช้น้ำมันปาล์มจากมาเลย์อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันทางมาเลเซียได้ปรับราคาน้ำมันปาล์มขึ้นไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับของประเทศไทยที่มีการปรับราคาขึ้นเป็น 47 บาทในปัจจุบัน              มาตรการของสำนักงานการค้าภายในมีการตรวจสอบร้านค้าขายปลีกและขายส่งเพื่อป้องกันการกักตุนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนในภายหลัง และการปิดราคาขายปลีกที่ชัดเจนส่วนในเรื่องของการลักลอบนำเข้านั้น ทางสำนักงานการค้าภายในไม่ใช่หน้าที่โดยตรงแต่ได้ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องทั้งศุลกากร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อลดและยับยั้งการลักลอบนำเข้าโดยผิดกฎหมายอยู่แล้ว              ส่วนบรรยากาศที่บริเวณสถานีรถไฟยะลา ในเขตเทศบาลนครยะลามีบรรดากองทัพมดนำน้ำมันปาล์มจากประเทศมาเลเซียโดยขบวนรถไฟเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้โดยสารการขบวนรถไฟสายสุไหงโก-ลก-หาดใหญ่ ได้รับผลกระทบในเรื่องของความสะดวกในการจัดหาที่นั่งเป็นอย่างมาก เพราะบริเวณที่นั่งบนรถบรรดากองทัพมดจะนำสินค้าหนีภาษีจากมาเลเซียมากองไว้ระเกะระกะเต็มทุกโบกี้โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มาจัดการแต่อย่างใด

12 Jan 2554 11:58 ผู้ชม: 2792
เรือยอชต์ขนาดใหญ่กว่า 40 ลำโชว์ในงาน PIMEX คาดสะพัดพันล้าน
เรือยอชต์ขนาดใหญ่กว่า 40 ลำโชว์ในงาน PIMEX คาดสะพัดพันล้าน

งานจัดแสดงเรือนานาชาติภูเก็ต หรือ PIMEX ที่ภูเก็ตระหว่างวันที่ 6-9 ม.ค.นี้เริ่มแล้ว มีเรือยอชต์ขนาดใหญ่จากต่างชาติเข้าร่วมแสดง 40 ลำ คาดมีการซื้อขายเรือและอุปกรณ์เรือในงานไม่ต่ำกว่า 600-1,000 ล้านบาท เผยแต่ละปีมีเรือยอชต์เข้ามาภูเก็ตไม่ต่ำกว่า 1,200 ลำ สร้างรายได้หลายพันล้านบาท               วันนี้ (6 ม.ค.54) นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดงาน แสดงเรือนานาชาติภูเก็ต ครั้งที่ 8 หรือ PIMEX ณ ศูนย์จัดนิทรรศการและหอประชุม รอยัล ภูเก็ต มารีน่า ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งทางบริษัท อินฟอร์มา ยอชท์ กรุ๊ป ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น ระหว่าง วันที่ 6-9 มกราคม 2554 นี้              งาน PIMEX ถือเป็นงานแสดงเรือบนผืนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นงานแสดงเรือที่มีประสิทธิภาพของวงการธุรกิจทางทะเลของภูมิภาค มีพื้นที่แสดงสินค้าและบริการถึง 2,500 ตร.ม. ทั้งภายในศูนย์แสดงสินค้าฯ และแสดงบนผืนน้ำภายในมารีน่า รอยัล ภูเก็ต มารีน่า ซึ่งมีเรือยอชต์ขนาดใหญ่จำนวน 40 ลำ จาก 20 ประเทศ เข้าร่วมแสดง ทั้งเอเชีย ยุโรป และอเมริกา แคนนาดา เป็นต้น              โดยมีเรือขนาดตั้งแต่ 7 เมตรจนถึงเรือซูเปอร์ยอชต์ขนาดใหญ่กว่า 28 เมตรขึ้นไป รวมทั้งเรือยอชท์แบบมีเครื่องยนต์และไม่มีเครื่องยนต์ ซึ่งมีทั้งแบรนด์ที่ต่อในประเทศไทยและต่างประเทศมาร่วมแสดง เช่น Riva ซึ่งเป็นเรือยอดนิยมของเหล่าบรรดานักแสดงชื่อดังระดับโลก นอกจากนี้มีการจัดแสดงสินค้าและบริการไลฟ์สไตล์ทางเรืออีกกว่า 40 บริษัท การจัดแสดงรถยนต์หรูจากจากัวร์ เล็กซัส และ แลนด์ โรเวอร์ เป็นต้น              มร.แอนดี้ ดาวเดน ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดงาน อินฟอร์มา ยอชท์ กรุ๊ป ผู้จัดงานแสดงเรือนานาชาติภูเก็ต กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาการจัดงานมียอดขายเรือได้ในงานเป็นจำนวนมาก และปีนี้คาดหวังว่ายอดขายน่าจะมากกว่า 600- 1,000 ล้านบาท และมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 6,000 คน              นอกจากนั้น ไฮไลต์ในปีนี้จะมีทั้งรถยนต์หรูราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท จนถึงเรือที่มีราคาสูงถึง 600 ล้านบาท ที่จะพร้อมกันดึงดูดความสนใจผู้เข้าชมในวงกว้างจากหลายจุดหมายปลายทาง อาทิ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ มะนิลา จาการ์ต้า และฮ่องกง โดยมีเรือแบรนด์ชั้นนำ บริษัทตัวแทนซื้อขายสินค้าและบริการ และกลุ่มผู้ให้บริการด้านธุรกิจและการท่องเที่ยวทะเล จะเข้าร่วมแสดงเรือขนาดตั้งแต่ 20 ฟุต ถึงเรือที่ยาวกว่า 100 ฟุต รวมถึงเรือสำหรับการออกทะเลทริปกลางวัน เรือครูซลักซ์ชูรี่ และเรือยอชต์แบบมีเครื่องยนต์และไม่มีเครื่องยนต์ พร้อมๆ กับ การแสดงรถยนต์แบรนด์หรูอย่างจากัวร์ เล็กซัส และแลนด์ โรเวอร์              มร.แอนดี้ ยังกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจเรือยอชท์ที่เข้ามาภูเก็ตว่า ภูเก็ตได้รับความนิยมจากนักเล่นเรือยอชท์มาก มารีน่าของเอกชนที่มีอยู่ 4 แห่งในขณะนี้ ทั้งยอช์ทเฮเว่น โบ๊ทลากูน รอยัล ภูเก็ต มารีน่า และมารีน่าที่อ่าวปอ ไม่เพียงพอในการรองรับเรือยอชท์ที่เข้ามาในภูเก็ต ซึ่งสถิติเรือที่เข้ามาจอดในภูเก็ตตามมารีน่าต่างๆ เฉลี่ยปีละประมาณ 1,200-1,400 ลำ ซึ่งเรือเหล่านี้จะจอดอยู่เป็นประจำ               แต่ในช่วงไฮซีซันจะมีเรือเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างรายได้เกิดขึ้นในภูเก็ตปีละหลายพันล้านบาท การจัดงานแสดงเรือนานาชาติดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภูเก็ตอีกแนวทางหนึ่งด้วย

06 Jan 2554 17:21 ผู้ชม: 2646
รถไฟสายใต้แน่นประชาชน เริ่มทยอยกลับกรุงเทพฯ
รถไฟสายใต้แน่นประชาชน เริ่มทยอยกลับกรุงเทพฯ

ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับ หลังวันหยุดยาว ส่งผลให้ขบวนรถไฟเต็มทุกขบวน ต้องมีการเสริมตู้ เพื่อไม่ให้ประชาชนที่ต้องการเดินทางตกค้าง              วันนี้ (2 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ จ.สงขลา ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันนี้ ผู้โดยสารเริ่มหนาแน่น เนื่องจากประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับขึ้นกรุงเทพฯ แม้จะเหลือวันหยุดช่วงปีใหม่พรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน เพื่อลดความแออัด และมีเวลาพักเหนื่อยหนึ่งวัน              นายประเมิน เสรีรักษ์ หัวหน้าหน่วยบริหารขายตั๋วหาดใหญ่ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ประชาชนจองตั๋วเดินทางล่วงหน้าขึ้นกรุงเทพฯ มากที่สุด ส่งผลให้ขบวนรถสายยาวเส้นทางตั้งแต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้-หาดใหญ่-ปลายทางกรุงเทพฯ ซึ่งมีอยู่ 5 ขบวนต่อวันเต็มทั้งหมด โดยเฉพาะชั้นหนึ่ง และชั้นสอง ขณะที่ชั้นสามซึ่งเป็นรถไฟฟรีนั้นผู้โดยสารบางส่วนต้องยืนเพราะไม่มีที่นั่ง              อย่างไรก็ตามทางศูนย์ภาคใต้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เสริมตู้โบกี้รถสายยาวทุกขบวน เพื่อรองรับกับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นและไม่ให้ผู้โดยสารตกค้าง

03 Jan 2554 09:10 ผู้ชม: 1699
กรมธนารักษ์อนุญาตนำที่ดินมาจัดสรรทำกินแล้ว
กรมธนารักษ์อนุญาตนำที่ดินมาจัดสรรทำกินแล้ว

สุราษฎร์ธานี -คืบหน้าปัญหาที่ดินทำกินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สมาชิกสหกรณ์ฯ ได้เฮ เมื่อกรมธนารักษ์อนุญาตให้นำที่ดินจัดให้ราษฎรทำกินตามมติ ครม.2546 โดยดำเนินการจัดให้ตามมติจังหวัดรายละ 1-2 ไร่               ความคืบหน้ามีม๊อบที่ดินทำกินจังหวัดสุราษฎร์ จากกรณีจากกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวนกว่า 5,000 คน เคลื่อนตัวมากดดัน ให้ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกิน ตามมติ ครม.ปี 2546 ซึ่งเนื่องจากในเวลา 13.30 น.คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินจังหวัดสุราษฎร์ธานี              โดยมี นายธีระยุทธ์ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานการประชุม จะมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ห้องประชุมตาปี ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อหาแนวทางในการนำที่ดิน พื้นที่ราชพัสดุแปลง 848 บ่อถ่านศิลา อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี กว่า 4,000 ไร่ มาดำเนินการจัดสรรให้ประชาชนเช่าทำกินตามนโยบายรัฐบาล              โดยการประชุมเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 13.30 น.โดย นายธีรยุทธ์ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานการประชุมโดยมีตัวแทนจากกรมธนารักษ์ประกอบด้วย นายยืนยง ทัศนศรี ที่ปรึกษากรมธนารักษ์ และ นายทวีชัย ยี่ลิเก ผู้อำนวยการส่วนจัดการ และธนารักษ์พื้นที่ พร้อมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด              โดยการประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียดท่ามกลางกลุ่มม็อบจำนวนมากเคลื่อนตัวเข้ามากดดันที่บริเวณหน้าห้องประชุม หลังจากใช้เวลากว่า 4 ชั่งโมงในที่สุด กรมธนารักษ์อนุญาตให้นำที่ดินพื้นที่แปลงดังกล่าวจัดให้ราษฎรทำกินตามมติ ครม.2546 โดยดำเนินการจัดให้ตามมติ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาความยากจน (ศจพ.จ.สฎ) รายละ 1-2 ไร่               โดยทำการแบ่งแปลงพื้นที่สวนส้มโชกุน 1 ไร่ จำนวน 811 แปลง และพื้นที่สวนปาล์ม 2 ไร่จำนวน 163 แปลง โดยผู้ที่ได้รับสิทธิเช่าที่ดินทำกินจะต้องผ่านการอบรมหลักสูตรปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริห์ ตามนโยบายจังหวัด ซึ่งผู้ที่ได้รับสิทธิการเช่าที่ดินเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรตะปานเมืองใหม่ทั้งหมดที่เข้าร่วมอบรมโครงการดังกล่าว

24 Dec 2553 08:59 ผู้ชม: 1826
รถตู้รับส่งนักเรียนเสียหลักชนต้นไม้ริมถนน นร.เจ็บ 5 ไม่มีเสียชีวิต
รถตู้รับส่งนักเรียนเสียหลักชนต้นไม้ริมถนน นร.เจ็บ 5 ไม่มีเสียชีวิต

รถตู้รับส่งนักเรียนประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้ริมถนนนักเรียนบาดเจ็บ 5 ราย อาการน่าเป็นห่วง 2 ราย สาเหตุเป็นเพราะฝนตกหนักถนนลื่น              วันนี้ (21 ธ.ค.) ร.ต.ท.ชัยวัฒน์ มุสิโก ร้อยเวร สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถนักเรียนชนต้นไม้บริเวณหลัก กม. เส้นทางสายเอเชียฝั่งขาออกไป จ.พัทลุง พื้นที่หมู่ 7 ต.คูหาใต้ มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยรัตภูมิ ที่เกิดเหตุพบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน นข 4545 สงขลา เสียหลักตกลงข้างทางและชนติดอยู่กับต้นไม้ริมถนน สภาพรถด้านหน้าพังยับเยิน              เบื้องต้นมีนักเรียนได้รับบาดเจ็บ 5 คน หน่วยกู้ภัยรัตภูมินำตัวส่งโรงพยาบาลรัตภูมิ ในจำนวนนี้อาการน่าเป็นห่วง 2 ราย คือ น.ส. ศรัลยา ขาวกลิบ นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ และ น.ส.อจิรวดี สุวรรณจันทร์ นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา แพทย์ให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาล              ส่วนอีก 3 คน คือ น.ส.ภัทธิวา ปานแก้ว นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ ด.ช.ชานน วิจะสิกะ และด.ช.ณัฐกร ทับทวี โรงเรียลพลวิทยา บาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ขณะที่ นางสาวจุรัตน์ ปาแก้ว อายุ34 ปี ซึ่งเป็นคนขับปลอดภัย              จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุรถตู้คันดังกล่าวได้รับนักเรียนทั้งหมดเดินทางไปโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ แต่ขณะเกิดเหตุมีฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้ถนนลื่นและรถเกิดเสียหลักพุ่งลงข้างทางไปชนกับต้นไม้ โชคดีที่นักเรียนแค่บาดเจ็บ โดยตำรวจจะเรียกคนขับมาสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง

21 Dec 2553 11:44 ผู้ชม: 5970
Lastest News
มติ ครม. ไฟเขียว ขึ้นเงินเดือนลูกจ้าง สพฐ. แตะ 1.5 หมื่นบาท
มติ ครม. ไฟเขียว ขึ้นเงินเดือนลูกจ้าง สพฐ. แตะ 1.5 หมื่นบาท

มติ ครม. วันนี้ (8 ตุลาคม 2556) อนุมัติปรับค่าจ้าง สำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ในลักษณะจ้างเหมาของ สพฐ. โดยปริญญาตรี ได้เดือนละ 15,000 บาท ขณะที่ต่ำกว่าปริญญาตรี ได้เดือนละ 9,000 บาท           ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการให้ปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ที่ได้รับค่าจ้างรายวันหรือรายเดือน ในลักษณะจ้างเหมาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมีข้อกำหนดดังนี้            1. ผู้มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ได้รับเงินค่าครองชีพเพิ่มขึ้น รวมเป็นค่าจ้าง เดือนละ 15,000 บาท จากเดิม ได้รับ 9,140 บาท และหากรวมเงินสมทบกองทุนประกันสังคม รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 15,750 บาท           2. ผู้มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี ได้รับเงินค่าครองชีพเพิ่มขึ้น รวมเป็นค่าจ้าง เดือนละ 9,000 บาท จากเดิม วุฒิอนุปริญญา ได้รับ 6,410 บาท และ ปวช. ม.3 และ ม.6. ได้รับ 5,700 บาท เมื่อรวมเงินสมทบกองทุนประกันสังคม รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 9,450 บาท  ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 - 30 กันยายน 2556           อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 65,172 คน ต้องใช้งบประมาณ 3,300.82 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ มีบุคลากรที่ต้องลงไปปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายสร้างสันติสุขภาคใต้ของรัฐบาล จำนวน 2,040 อัตรา และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่เงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำควรอยู่ที่ 15,000 บาท ขณะที่วุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี มีขั้นต่ำอยู่ที่ 9,000 บาท           นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างในลักษณะจ้างเหมา พิจารณาความจำเป็นหากต้องปรับค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยการเสนอความต้องการผ่านคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขอความเห็นชอบจาก ครม. ต่อไป

09 Oct 2556 14:12 ผู้ชม: 1972
Hot News
รถตู้รับส่งนักเรียนเสียหลักชนต้นไม้ริมถนน นร.เจ็บ 5 ไม่มีเสียชีวิต
รถตู้รับส่งนักเรียนเสียหลักชนต้นไม้ริมถนน นร.เจ็บ 5 ไม่มีเสียชีวิต

รถตู้รับส่งนักเรียนประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้ริมถนนนักเรียนบาดเจ็บ 5 ราย อาการน่าเป็นห่วง 2 ราย สาเหตุเป็นเพราะฝนตกหนักถนนลื่น              วันนี้ (21 ธ.ค.) ร.ต.ท.ชัยวัฒน์ มุสิโก ร้อยเวร สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถนักเรียนชนต้นไม้บริเวณหลัก กม. เส้นทางสายเอเชียฝั่งขาออกไป จ.พัทลุง พื้นที่หมู่ 7 ต.คูหาใต้ มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยรัตภูมิ ที่เกิดเหตุพบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน นข 4545 สงขลา เสียหลักตกลงข้างทางและชนติดอยู่กับต้นไม้ริมถนน สภาพรถด้านหน้าพังยับเยิน              เบื้องต้นมีนักเรียนได้รับบาดเจ็บ 5 คน หน่วยกู้ภัยรัตภูมินำตัวส่งโรงพยาบาลรัตภูมิ ในจำนวนนี้อาการน่าเป็นห่วง 2 ราย คือ น.ส. ศรัลยา ขาวกลิบ นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ และ น.ส.อจิรวดี สุวรรณจันทร์ นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา แพทย์ให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาล              ส่วนอีก 3 คน คือ น.ส.ภัทธิวา ปานแก้ว นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ ด.ช.ชานน วิจะสิกะ และด.ช.ณัฐกร ทับทวี โรงเรียลพลวิทยา บาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ขณะที่ นางสาวจุรัตน์ ปาแก้ว อายุ34 ปี ซึ่งเป็นคนขับปลอดภัย              จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุรถตู้คันดังกล่าวได้รับนักเรียนทั้งหมดเดินทางไปโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ แต่ขณะเกิดเหตุมีฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้ถนนลื่นและรถเกิดเสียหลักพุ่งลงข้างทางไปชนกับต้นไม้ โชคดีที่นักเรียนแค่บาดเจ็บ โดยตำรวจจะเรียกคนขับมาสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง

21 Dec 2553 11:44 ผู้ชม: 5970