มีข้อมูลสำคัญ ทำอย่างไรให้ปลอดภัยและจัดเก็บง่ายด้วย
มีข้อมูลสำคัญ ทำอย่างไรให้ปลอดภัยและจัดเก็บง่ายด้วย

การที่จะจัดการกับข้อมูลสำคัญมีอยู่มากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บในโฟลเดอร์ที่มีการเข้ารหัสหรือหาอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บที่มีความปลอดภัย บางครั้งอาจจะใช้วิธี Hidden file ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เองว่าจะเลือกวิธีใด สำคัญมากสำคัญน้อย แต่อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ การใช้วิธีบีบอัดไฟล์ด้วยโปรแกรมที่คุ้นหูคุ้นตากันดีอย่างเช่น WinRAR แต่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น ก็อาจจะใส่ลูกเล่นบางอย่างเข้าไป อย่างเช่น การแบ่งไฟล์และการใส่รหัส ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน1ขั้นแรกให้จัดเตรียมข้อมูลที่ต้องการจะจัดเก็บและเพิ่มความปลอดภัย2ในกรณีที่ติดตั้งโปรแกรม WinRAR แล้ว ให้คลิกขวาบนไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บ แล้วเลือก Add to archive…

20 Sep 2556 09:45 ผู้ชม: 3344
พาร์ทิชันแบบใด เหมาะกับระบบปฏิบัติการแบบ Dual Boot
พาร์ทิชันแบบใด เหมาะกับระบบปฏิบัติการแบบ Dual Boot

การทำ Dual Boot เป็นเรื่องปกติที่หลายคนนิยมทำกัน เนื่องจากบางครั้งมีระบบปฏิบัติการใหม่ๆ ออกมาให้ทดลองใช้ ก็จัดการแบ่งสรรปันส่วนฮาร์ดดิสก์ออกเป็นพาร์ทิชัน จากนั้นก็ทำการติดตั้งระบบต่างๆ ลงไป เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้การแบ่งพาร์ทิชันที่เหมาะสมก็ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลมีระเบียบและเป็นระบบ ทำให้ค้นหาข้อมูลได้ง่าย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ควรจะต้องทราบคือ Partition แต่ละแบบนั้นหมายถึงอะไร แล้วทำไมต้องแบ่งไม่เหมือนกันด้วย โดยพาร์ทิชันต่างๆ นั้น ล้วนมีความหมายดังนี้1Primary partition เป็นพาร์ทิชันหลักที่ใช้สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือใช้บูตเครื่องเข้าสู่ระบบ ส่วนใหญ่เป็นไดรฟ์ C: โดยฮาร์ดดิสก์หนึ่งลูกจะแบ่งพาร์ทิชันในลักษณะนี้ได้ไม่เกิน 4 พาร์ทิชัน ยกเว้นว่าไดรฟ์นั้นมี Extended partition อยู่ด้วย ก็จะสร้างได้เพียง 3 พาร์ทิชันเท่านั้น

09 Sep 2556 14:00 ผู้ชม: 3424
สร้าง Bootable Windows 7 USB Flash Drive ด้วย EasyBCD
สร้าง Bootable Windows 7 USB Flash Drive ด้วย EasyBCD

วิธีการติดตั้ง Windows 7 ด้วย USB Flash Drive ผู้ใช้ Windows 7 ก็พอรู้มาบ้างว่ามีวิธีทำได้ และก็มีหลากหลายโปรแกรมช่วยในการทำ วันนี้ผมก็มีอีกวิธีการหนึ่ง ซึ่งยากเลยทำง่ายๆ ตัวช่วยในการทำก็ได้แก่โปรแกรม EasyBCD ปกติโปรแกรมนี้ออกแบบให้ใช้ในการทำ Multi-Boot OS ผู้ที่ใช้ EasyBCD จะรู้ว่า EasyBCD นั้น.ใช้ในการ เพิ่ม เอาออก หรือแก้ไขระบบบูต ซึ่งในความเป็นจริงยังสามารถในการสร้าง บูตให้กับ USB Flash Drive อีกด้วย เพียงแค่คลิก 2-3 คลิก เราก็ได้ USB Flash Drive ที่บูตได้ วิธีการสร้าง Bootable Windows 7 USB Flash Drive ด้วย EasyBCD ก็มีดังนี้ 1.ถ้ายังไม่มีโปรแกรม EasyBCD ก็ไปดาวน์โหลดมาติดตั้งก่อน โดยสามารถดาวน์โหลดได้…. ที่นี่ 2.ต่อมาให้เราเอา USB Flash Drive ที่จะสร้างต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ถ้ามีข้อมูลอยู่ก็ให้เอาออกเก็บไว้ที่อื่นก่อน แล้วทำการฟอร์แม็ต USB Flash Drive โดยคลิกขวาที่ไอคอนของ USB Flash Drive เลือกคำสั่ง Format ให้เลือก File system เป็น 32 Bit   3.ต่อมาให้เปิดโปรแกรม  EasyBCD ขึ้นมา แล้วคลิกที่ Bootloader Setup 4.ที่รายการ Create Bootable External Media ให้เลือก USB Flash Drive ที่จะทำ Bootable จากรายการ Partition:   5.จากนั้นก็คลิก Install BCD โปรแกรมจะทำการสร้างบูตสักครู่ เมื่อเสร็จจะมีหน้าต่างแสดงออกมาให้คลิก Yes ทำการปิดโปรแกรม EasyBCD   6.จากนั้นให้ก็อปปี้ไฟล์ที่อยู่ในแผ่นติดตั้ง Windows 7 ทั้งหมดลงใน USB Flash Drive เมื่อเสร็จเรียบร้อย เราก็จะได้ USB Flash Drive ที่สามารถติดตั้ง Windows 7 ไว้ใช้แล้ว

28 Mar 2554 09:38 ผู้ชม: 7810
จะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค Windows 7 ให้นานที่สุดได้อย่างไร?
จะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค Windows 7 ให้นานที่สุดได้อย่างไร?

มีรายงานข่าวว่า คอมพิวเตอร์ที่ใช้รัน Windows 7 ช่วยให้องค์กรประหยัดค่าไฟลงได้มากกว่า 1,200 (ประมาณ 40 เหรียญฯ) บาททต่อเครื่องต่อปี ซึ่งอานิสงฆ์นี้ยังส่งผลถึงการบริหารจัดการพลังงานบนโน้ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ผู้ใช้จะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานของระบบเสียก่อน จึงจะสามารถรีดพลังงานจากแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่รัน Windows 7 ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทราบไหมว่า นอกจากส่วนแสดงผลของโน้ตบุ๊คที่สวาปามพลังงานไฟฟ้ามากกว่าเพื่อนแล้ว ยังมีอุปกรณ์ส่วนไหนของเครื่องอีกที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไม่แพ้กัน โพรเซสเซอร์? Wi-Fi และ Bluetooth? หรือ ลำโพง? ผมว่าอย่าเดาดีกว่า กราฟวงกลมข้างล่างนี้จะทำให้คุณผู้อ่านได้ทราบความจริงว่า ในโน้ตบุ๊คหนึ่งเครื่องมีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ส่วนใดบ้างมากน้อยอย่างไร? เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเลือกระบบจัดการพลังงานที่จะทำให้ใช้งานโน้ตบุ๊คจากแบตฯที่เหลืออยู่ได้นานที่สุดนั่นเอง ในส่วนของ Windows Vista จะโดนวิจารณ์อย่างหนักพอสมควรสำหรับระบบจัดการพลังงานแบตเตอรี่ที่พบว่า มันยังหมดค่อนข้างเร็ว ด้วยเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว ทางไมโครซอฟท์จึงได้พยายามอย่างหนักในการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการพลังงานของแบตเตอรี่บนระบบปฏิบัติการ Windows 7 อย่างไรก็ตาม หากแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คคุณเก่าเสียเหลือเกินยังไงๆ มันก็หมดเร็วไม่ต้องสงสัย และนั่นเป็นสัญญาณถึงเวลาซื้อแบตเตอรี่ก้อนใหม่ได้แล้ว แต่ถ้าแบตฯของคุณยังสุขภาพดีอยู่ ทิปเหล่านี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตฯได้ กลับมาดูที่ประเด็นหลักของทิปนี้ ซึ่งจะพูดถึงโน้ตบุ๊คที่รัน Windows 7 เป็นสำคัญ ก่อนอื่นต้องบอกว่า แผงควบคุมการจัดการพลังงานของ Windows 7 ทำออกมาได้ดีทีเดียว โดยมันเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งความสว่างของหน้าจอ และเลือกแผนการใช้พลังงานไว้ใช้ได้เลย โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงระบบการจัดการพลังงานของ Windows 7 ได้ด้วยการกดปุ่ม Windows+X ซึ่งที่นี่จะเปิดโอกาสให้คุณปรับเปลี่ยนได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ ความสว่างไปจนถึงการกำหนดแผนการใช้พลังงาน ถ้าคุณต้องการตัวเลือกที่ละเอียดกว่า คุณก็สามารถคลิกที่ไอคอน Battery ใน System Tray บนTaskbar ของคุณ แล้วเลือก More power options คราวนี้คุณผู้อ่านก็สามารถเปลียนแปลงการใช้พลังงานของโน้ตบุ๊คได้เมื่อต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลดความสว่าง เมื่อไรถึงจะเข้า sleep mode หรือแม้แต่กำหนดความสว่างก่อนเสียบปลั๊ก และหลังเสียบปลั๊ก นอกจากการปรับลดแสงสว่างของหน้าจอ เพื่อประหยัดพลังงานแล้ว คุณผู้อ่านสามารถเข้าไปวางแผนการใช้พลังงานได้ที่ change advanced power settings  คุณจะสามารถเปลียนค่าการใช้พลังงานต่างๆ ได้อย่างละเอียดตั้งแต่ความเร็วของ processor (ช้าลงก็ใช้ไฟน้อยลง เอาไว้เลือกตอนที่แบตฯเหลือน้อยเต็มที) ระบบความเย็น (กรณีนั่งทำในห้องที่มีแอร์เย็นฉ่ำ) ตลอดจนการกำหนดการทำงานของปุ่ม Power   นอกจากลดการใช้พลังงานโดยอุปกรณ์ทีกินไฟหลักๆ อย่าง หน้าจอ ซีพียู ชิปเซต แล้ว ยังมี Wi-Fi ซึ่งหากไม่ได้เชื่อมต่อ แต่เปิดสวิทช์นี้ไว้ มันก็จะพยายามเสาะแสวงหาเน็ตเวิร์กตลอดเวลา เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย ซึ่งกินไฟไม่ใช่น้อย หากคุณกำลังพิมพ์งาน หรืออ่านอีบุ๊ค ปิดสวิทช์ Wi-Fi ไปซะจะดีกว่านะครับ ส่วนโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้แต่นอนแช่อยู่ใน Taskbar ก็เปลืองพลังงานเหมือนกัน อันไหนไม่ใช้ปิดไปเถอะ ในกรณีที่เครื่องของคุณมี RAM น้อย และคุณต้องรันโปรแกรมอย่างน้อย 2-3 ตัวพร้อมกันอยู่เป็นประจำ ทำให้ต้องสลับการทำงานไปมา แน่นอนว่า ภาระส่วนหนึ่งจะตกไปอยู่ที่ฮาร์ดดิสก์ที่ต้องใช้ทำหน้าที่แทนหน่วยความจำ และลงท้ายด้วยการใช้พลังงานแบตฯทีมากโดยไม่ตั้งใจอยู่ดี กรณีนี้แนะนำว่า ลงทุนซื้อ RAM เพิมเถอะนะ คงจะพอหอมปากหอมคอนะครับ สำหรับทิปการประหยัดพลังงานแบตฯ โน้ตบุ๊ค Windows 7 หากให้แนะนำทุก Options คงหลายสิบหน้าแน่ๆ เลย ยังไงตอนปรับแต่งให้คอยสังเกตด้วยว่า Windows 7 รายงานเวลาใช้แบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร? ขอให้สนุกกับ Windows 7 นะครับ  

22 Mar 2554 10:51 ผู้ชม: 5220
เทคนิคการเจรจาต่อรองราคาโน้ตบุ๊ก รู้ไว้ช่วยท่านประหยัดได้นะจ๊ะ
เทคนิคการเจรจาต่อรองราคาโน้ตบุ๊ก รู้ไว้ช่วยท่านประหยัดได้นะจ๊ะ

หลาย ๆ ท่านที่มีศิลปะการพูดก็คงจะต่อราคาได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่เป็นมือใหม่ไม่ได้ซื้อของบ่อย ๆ ไม่ค่อยได้ต่อราคาอาจไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ทีมงานจึงมีข้อแนะนำเทคนิคง่าย ๆ ในการพูดต่อรองราคา ช่วยให้ทุกท่านลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ 1. เดินถามราคารุ่นเดียวกันหลาย ๆ ร้านก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ โดยร้านแพงสุดอาจจะไม่ได้แพงจริง ลองเอาราคาร้านถูกสุดไปบอกว่าลดได้ไหม 2. จ่ายสดลดได้เท่าไร เพราะส่วนใหญ่ถ้าจ่ายสดลดให้อยู่แล้ว เพราะร้านค้าชอบได้เงินสดมากกว่าเงินผ่อน ถ้าเลือกได้จ่ายเป็นเงินสดดีกว่าผ่อนอยู่แล้วครับ 3. ไม่เอา vat นะ หลายๆครั้งที่โน้ตบุ๊กมักจะบอกว่าขายราคาไม่ vat จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อราคาว่าไม่เอา vat ได้ไหม หรือให้คิด vat ถูกกว่าราคา vat เต็ม แบบว่าถ้าไม่ vat ซื้อเลย 4. ไม่เอาของแถม ลองดูว่าของแถมที่ให้มาถ้าถูกๆก็อาจจะไม่เอาก็ได้โดยเฉลี่ยพวกของแถม 7-8 อย่างที่เป็นเซ็ตนิราคาตลาดจะอยู่ที่ 200 – 250 บาท แล้วลองคำนวณดูถึงส่วนลดที่ได้ ถ้าลดได้เยอะก็จัดเลย ยกเว้นเป็นพวกเมาส์มียี่ห้อ หรือกระเป๋าดีๆ อันนี้ถ้าไม่จำเป็นไม่เอาก็ลดได้ถึงหลักพันเลยนะครับ ลองดูว่าถ้าของแถมไม่ได้ใช้เอาไปลดราคาเครื่องดีกว่า 5. จำนวนจำกัด ไม่มี อันนี้ก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งของคนขายที่มักบอกปัดให้ซื้อรุ่นอื่นซึ่งที่จริงส่วนใหญ่ก็มี เราจึงต้องยืนยันรุ่นที่เราต้องการ บอกไปเลยครับว่าไม่มีก็ไม่เอา เดี๋ยวพนักงานเขาหามาให้ 6. เดินหนีช่วยได้ เทคนิคนี้ต้องอาศัยใจกล้าสักหน่อย แบบว่าต่อทุกทางแล้วไม่ยอมลดเลย ก็ทำท่าเหมือนจะไม่เอา ซึ่งถ้าพนักงานเห็นแล้ว ถ้าลดได้ก็จะลดให้ แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ซื้อไปเถอะครับ 7. ถ้าจำเป็นต้องผ่อน ก็หารุ่น หาร้านที่ผ่อน 0% จะได้ช่วยเซฟค่าผ่อนไปอีกหลายบาท เพราะมักจะมีให้เลือก o% อยู่บ่อย ๆ 8. รูดบัตรชาร์จซะ เราก็ต่อเลยว่าถ้าไม่ชาร์จซื้อเลย ถ้าชาร์จไปร้านอื่นนะ ยกเว้นบางบัตรที่ไฮโซฯ อาจจะจำเป็นต้องชาร์จ เราก็ต่อไปว่าจาก 5% เหลือ 2-3% ได้ไหม 9. วันสุดท้ายถูกสุด ไหนๆร้านค้าก็มาออกงานแล้วก็อยากจะขายให้หมดๆแบบไม่อยากขนกลับ วันสุดท้ายจึงเป็นวันที่มีโปรโมชั่นแรงที่สุดรุ่นไหนลดได้ลด รุ่นไหนแถมได้แถม อยากได้ของถูกต้องวันสุดท้ายเลย 10. สุดท้าย แม้ราคาสูง แต่พนักงานบริการดีก็น่าจะซื้อกับร้านนั้นนะครับ อาจจะแพงกว่า 100-200 บาท แต่ก็ถือซะว่าเป็นการอุดหนุนพนักงานที่บริการลูกค้าดีก็แล้วกันครับ เป็นเทคนิคง่าย ๆ  (ที่ต้องอาศัยความใจกล้าสักหน่อย) ที่ช่วยทุกท่านเซฟค่าใช้จ่ายไปได้ไม่มากก็น้อย ลองต่อรองสักหน่อยจะได้ไม่เสียใจภายหลัง (เพราะซื้อของแพง)

18 Mar 2554 15:31 ผู้ชม: 4877
ตั้งค่าฟอนต์เริ่มต้นในรูปแบบของคุณใน Word 2010
ตั้งค่าฟอนต์เริ่มต้นในรูปแบบของคุณใน Word 2010

ผู้ที่ใช้ Word ทำเอกสารจะเจอปัญหาหนึ่งเป็นประจำ นั้นคือทุกครั้งที่ใช้งาน Word ต้องมากำหนดรูปแบบฟอนต์และขนาดของฟอนต์ที่ต้องการทุกครั้งที่ใช้ Word ถ้าคุณแก้ปัญหานี้โดยให้ Word จำค่าฟอนต์ที่คุณต้องการเป็นค่าเริ่มต้น ทุกครั้งที่เปิดใช้ Word ก็สามารถทำได้ดังนี้ 1. เปิด Word 2010 ขึ้นมาที่ริบบอนแท็บ Home ให้คลิกที่ สามเหลี่ยนเล็กๆ ตรงมุมขวาของรายการ Font 2 2. หน้าต่าง Font จะเปิดขึ้นมา ที่รายการหลัก Latin text Font : กำหนดรูปแบบตัวอักษร Font style : กำหนดลักษณะการแสดงของตัวอักษร Size : กำหนดขนาดของตัวอักษร 3. ที่รายการ Complex scripts กำหนดข้อความภาษาไทยและอื่นๆ ที่ใช้รวมกับ Latin text Font : กำหนดรูปแบบตัวอักษร Font style : กำหนดลักษณะการแสดงของตัวอักษร Size : กำหนดขนาดของตัวอักษร 4. รายการ Preview จะแสดงตัวอย่างตัวอักษรที่กำหนด 5. เมื่อตั้งค่าตามต้องการแล้วให้ คลิกปุ่ม Set As Default เพื่อบันทึกเป็นค่าเริ่มต้นของ Word เมื่อเปิดใช้งาน   6.จะมีหน้าต่างสอบถามว่าจะตั้งค่าดีฟอลต์นี้อย่างไร This document only ? – ใช้กับเอกสารปัจจุบันที่ทำงานเท่านั้น All document based on the Normal template ? – ใช้ค่าดีฟอลต์ที่ตั้งกับทุกเอกสาร Word เมื่อคลิกเลือกแล้ว ก็ให้คลิก OK

15 Mar 2554 17:08 ผู้ชม: 7181
Windows 7 รุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานของคุณ
Windows 7 รุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานของคุณ

วันนี้ผมจะทำการเปรียบเทียบแบบละเอียดเป็นส่วนต่างๆ ของ ฟังก์ชันการใช้งาน 1.หน้าตาหรือ Interfaces ที่ผู้ใช้จะต้องเจอและใช้งานมีการปรับปรุงที่ดีขึ้นใช้ง่ายขึ้นมากผู้ใช้สามารถเรียนรู้ได้ง่าย การใช้งานจะคร่องตัวกว่า Windows XP ความสามารถในด้านนี้มีใน Windows 7 ทุกรุ่น 2.การเรียกใช้โปรแกรมต่างๆ ทำงานได้รวแร็วกว่า Windows เวอร์ชันก่อน  และค้นหาเอกสาร (Search) ที่คุณใช้งานเป็นประจำได้รวดเร็ว ความ สามารถนี้เป็นผลจากการปรับปรุงระบบในการทำให้คุณสามารถเปิดโปรแกรมต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น  และปรับปรุงระบบการค้นหาแบบทันใจ (พิมพ์คำที่ค้นหาปุ๊บ ระบบจะแสดงผลการค้นหาทันที) ความสามารถนี้มีใน Windows7 ทุกรุ่น 3. การทำงานกับสังคมออนไลน์จะทำงานได้สะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้นด้วย Internet Explorer 8 เป็นระบบ Web browser ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับ Windows 7 ความสามารถนี้มีใน Windows7 ทุกรุ่น 4.ด้านการบันเทิง Windows 7 ได้ปรับปรุงจากเดิมอย่างมากด้วย  Windows Media Center (หรือในชื่อ Windows Media Player)  ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยในเรื่องของการดูหนัง ฟังเพลง ดูทีวีออนไลน์ ความสามารถนี้มีเฉพาะใน Windows7 รุ่น Home Premium, Professional, Ultimate , Enterprise (ไม่มีในรุ่น Starter, Home Basic) 5.การไม่เข้ากันของโปรแกรมเก่าในรุ่นที่รันบน Windows XP หลายโปรแกมไม่สามารถรับบน Windows 7 ได้นั้น ได้รับการแก้ปัญหาโดย  Windows 7 ได้ให้ฟีเจอร์  Windows XP Mode (ดาวน์โหลดแยกต่างหาก) เป็นฟีเจอร์ที่มีความสามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการใช้โปรแกรมที่สามารถใช้งานได้เฉพาะบน Windows XP ให้สามารถใช้งานบน Windows7 ได้ ความสามารถนี้มีเฉพาะใน Windows7 รุ่น Professional , Ultimate และ Enterprise (ไม่มีในรุ่น Starter, Home Basic,  Home Premium) 6. Windows 7 ได้เพิ่มความสะดวกสำหรับผู้ใช้ตามบ้านในการสร้างเครือข่ายภายในบ้านและเชื่อมต่อพีซีกับเครื่องพิมพ์ได้อย่างง่ายดายด้วย โดยฟีเจอร์ Home group ซึ่งเป็นความสามารถในเรื่องของเครือข่าย (Network) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องขึ้นไปครับ และต้องการใช้งาน Homegroup  ความสามารถนี้มีเฉพาะใน Windows7 รุ่น Home Premium, Professional, Ultimate (ไม่มีในรุ่น Starter, Home Basic) 7. เชื่อมต่อกับเครือข่ายในรูปแบบบริษัททำได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยด้วย  การเข้าร่วมโดเมน เป็นความสามารถในเรื่องของเครือข่าย (Network) ในรูปแบบองค์กรธุรกิจหรือบริษัท  ความสามารถนี้มีเฉพาะใน Windows7 รุ่น Professional, Ultimate และ Enterprise (ไม่มีในรุ่น Starter, Home Basic,  Home Premium) 8. การสำรองข้อมูล (Backup) และการคืนค่าแบบเต็มระบบที่พบในทุกรุ่น คุณสามารถสำรองข้อมูลไปไว้ที่เครือข่ายภายในบ้านหรือเครือข่ายธุรกิจได้ ความสามารถนี้ก็คือ การทำสำรองข้อมูล และการคืนค่า แบบต่างเครื่องได้ (โดยทั่วไปจะเป็นการสำรองข้อมูลและการคืน

15 Mar 2554 16:49 ผู้ชม: 5962
ปรับแต่งคำสั่งใน Quick Access Toolbar
ปรับแต่งคำสั่งใน Quick Access Toolbar

Quick Access Toolbar  คืออะไรและอยู่ส่วนไหนของโปรแกรม  MS Office 2010… Quick Access Toolbar จะอยู่ที่ส่วนบนสุดด้านซ้ายของหน้าต่างโปรแกรม จะแสดงปุ่มคำสั่งที่ใช้ปล่อยๆ อยู่ 3 ปุ่ม คือ Save, Undoและ Repeat ซึ่งความจริงผู้ใช้ส่วนมากจะมีคำสั่งที่ใช้อยู่ประจำของตัวเองมากกว่า ที่ทาง MS Office 2010 ให้มา ซึ่งเราก็สามารถเพิ่มปุ่มใช้งานอื่นๆ ที่เราใช้บ่อยลงไปได้อีก 1.ให้คลิกที่ปุ่ม สามเหลี่ยมเล็กๆ ที่อยู่ข้างขวาของปุ่มคำสั่ง 3 ปุ่มเดิมที่กล่าวมาข้างต้น 2.จะมีรายการปุ่มแสดงออกมาให้เราคลิกเลือกปุ่มที่ต้องการ เมื่อคลิกเลือกปุ่มคำสั่งก็จะแสดงขึ้นที่ Quick Access Toolbar ทันที 3.ในกรณีที่เราต้องการให้แสดงปุ่มคำสั่งที่มากกว่ารายการตามข้อ 2 ก็ให้คลิกที่ More Commands… จะมีหน้าต่าง Options แสดงออกมาให้เราเลือกปุ่มคำสั่งได้อีกมากมาย 4.คลิกเลือกชุดคำสั่งต่างๆที่ Choose commands from: 5.ทำการเลือกรายการปุ่มคำสั่งที่ต้องการ 6.คลิกปุ่ม Add>> เพื่อเพิ่มลงในรายการทูลบาร์ 7.รายการที่เลือกจะแสดงอยู่ที่รายการชื่อคำสั่งทางด้านขวา 8.คลิกปุ่ม OK แล้วไปดูที่ Quick Access Toolbar จะมีปุ่มคำสั่งที่เราเลือกจะเพิ่มขึ้นทันที  

14 Mar 2554 15:21 ผู้ชม: 6524
รู้ได้อย่างไรว่าการ์ดจอตัวไหนเป็นออนบอร์ด
รู้ได้อย่างไรว่าการ์ดจอตัวไหนเป็นออนบอร์ด

ปัจจุบันการ์ดจอในโน้ตบุ๊กเริ่มมีหลากหลายรุ่นมากขึ้น บางครั้งอาจทำให้คนที่เลือกซื้อโน้ตบุ๊กสักเครื่องสับสน คิดว่าการ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงเมื่อมองแค่เพียงตัวเลข บางครั้งบางยี่ห้อก็ตั้งชื่อการ์ดจอคล้ายกันเสียเหลือเกิน วันนี้เราจะมาดูกันว่า การ์ดจอไหนเป็นการ์ดจอออนบอร์ดบ้าง โดยในแต่ละยุคจะมีความแตกต่างกันไป จะมีการเพิ่มความสามารถขึ้น ในปัจจุบันการ์ดจอออนบอร์ดนี้มีความสามารถเทียบเท่าการ์ดจอแยกรุ่นกลาง ๆ และรองรับการใช้งาน DirectX 11 ได้เลยทีเดียวประเภทของการ์ดจอ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ1. Integrated graphics card หรือที่เรียกกันติดปากว่า “การ์ดจอออนบอร์ด” ถูกออกแบบมาให้ใช้งานแสดงผลทั่วไปได้โดยประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดและชิปเซต ต้องหยิบยืมทรัพยากรมาใช้ เช่น แรมของเครื่องมาใช้เป็นแรมของการ์ดจอ ทั้งยังมี core ในการประมวลผลที่ไม่ได้รวดเร็วนัก2. Dedicated graphics card เรียกกันบ่อย ๆ ว่า “การ์ดจอแยก” หมายถึง การ์ดจอที่มีการทำงานแยกออกมาเป็นของตัวเองทั้งหน่วยประมวลผลการ์ดจอและแรมของการ์ดจอ ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับระดับของการ์ดจอแยก ปัจจุบันบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตการ์ดจอแยกนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 บริษัท คือ ATI และ NVIDIA ลักษณะการทำงานของการ์ดจอหลักการทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่าง ๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ซีพียู เมื่อซีพียูประมวลผลเสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลมาที่การ์ดแสดงผลเพื่อที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพ จากนั้นการ์ดแสดงผลก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ จะเห็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการส่งถ่ายข้อมูล ดังนี้Graphics Processor เป็นหน่วยประมวลผลของการ์ดจอ ความเร็วหน่วยประมวลผลขึ้นอยู่กับผู้ผลิต ถ้าเป็น Intel ชิปเซตจะมีผลในส่วนนี้ ส่วนถ้าเป็น ATI หรือ NVIDIA จะมีหน่วยประมวลผลการ์ดจอเป็นของตัวเองMemory เป็นหน่วยความจำของการ์ดแสดงผลที่เรียกกันว่า VRAM นั่นเอง การ์ดจอออนบอร์ดนี้จะขึ้นอยู่กับ RAM Bus ของเครื่องGraphics BIOS มีในการ์ดจอแยก จะเป็นตัวเก็บข้อมูลพื้นฐานของการ์ดจอเพื่อให้สามารถเข้ากันกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้Digital-to-Analog Converter (DAC) เป็นตัวที่ช่วยจัดการระหว่าง VRAM กับจอแสดงผล ในปัจจุบัน DAC หรือ RAMDAC มีความเร็วสูงจนเกินพอ เราจึงไม่ค่อยพูดถึงส่วนนี้กันการ์ดจอออนบอร์ดกับการ์ดจอแยกแตกต่างกันอย่างไร ?เราจะเห็นได้ว่าโดยหลัก ๆ แล้ว GPU และ VRAM จะมีผลต่อประสิทธิภาพการ์ดจอโดยตรง ปกติแล้วการ์ดจอออนบอร์ดจะมีประสิทธิภาพของ GPU และ VRAM ด้อยกว่าการ์ดจอแยก เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงผลสูง ๆ เพียงแค่ทำให้พอแสดงผลภาพ 2 มิติหรือ 3 มิติได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าประสิทธิภาพต้องได้การ์ดจอแยกไปเต็ม ๆจะรู้ได้อย่างไรว่าการ์ดจอไหนออนบอร์ด ?1. ดูที่ยี่ห้อ ที่เห็นกันเกลื่อนก็คือ Intel ที่มีการ์ดจอออนบอร์ดให้มาพร้อมสำหรับผู้ที่ใช้งานทั่วไป เช่น ดูหนัง ฟังเพลง บางครั้ง ATI หรือ NVIDIA ก็ทำการ์ดจอออนบอร์ดออกมาเหมือนกัน ซึ่งจะเป็นรุ่น low-end สำหรับโน้ตบุ๊กราคาประหยัดในยุคก่อน2. ดูที่ชื่อรุ่น นอกเหนือจาก intel แล้ว อีกสองยี่ห้อที่เราจะสับสนกันมากนั่นก็คือ ATI และ NVIDIA ที่ผลิตการ์ดจอแยกออกมา แต่ดันมีการ์ดจอออนบอร์ดแฝงออกมาด้วย ซึ่งเราอาจเรียกการ์ดจอออนบอร์ดนี้เป็นการ์ดจออยู่ในระดับ Low-end โดยส่วนใหญ่แล้วรุ่นของการ์ดจอสองค่ายนี้จะประกอบไปด้วยเลข 4 หลัก ไม่ก็ 3 หลัก เช่น ATI Mobility Radeon HD4650 โดยที่หลักพันจะบ่งบอก series ใหญ่ รองลงมาคือหลักร้อยจะบ่งบอกระดับของการ์ดจอ หลักสิบจะบอกความแรงที่แตกต่างกันเล็กน้อย, nVidia Geforce GT210M หลักร้อยจะบ่งบอกระดับ series ใหญ่ รองลงมาคือหลักสิบจะบอกถึงระดับการ์ดจอ และหลักหน่วยจะบอกความแรงที่ต่างกันเล็กน้อยตามรูปแบบเดียวกันดังนั้น เราจะสังเกตเห็นได้ว่า การ์ดจอออนบอร์ดจะเป็นรุ่นการ์ดจอที่ :ถ้าเป็น 4 หลักจะเป็นเพียงหลักร้อยไม่เกิน 2 ร้อย หรือเลขหลัก 100 ต้น ๆ ที่ใกล้จะหาร 1,000 ลงตัว หรือสามารถหาร 1,000 ได้ลงตัว ถ้าเป็น 3 หลักจะเป็นเลขหลักสิบต้น ๆ ที่ใกล้จะหาร 100 ได้ลงตัว ตัวอย่างเช่นATIRadeon HD4870 (High-End)Radeon HD4850 (High-End)Radeon HD4670 (Mid-High)Radeon HD4650 (Mid-High)Radeon HD4570 (Mid-Low)Radeon HD4350 (Mid-Low)Radeon HD4330 (Mid-Low)Radeon HD4270 (Low-End)Radeon HD4250 (Low-End)Radeon HD4200 (Low-End)Radeon HD4100 (Low-End)Radeon HD4225 (Low-End)3. ดูที่ Memory Speed การ์ดจอออนบอร์ดจะไม่มีแรมเป็นของตัวเอง ท

04 Mar 2554 10:22 ผู้ชม: 6963
มือใหม่ iPhone ต้องรู้!!! ขั้นตอนแปลงร่าง iPhone มาเป็นโมเด็มง่ายๆ เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโน้ตบุ๊ก
มือใหม่ iPhone ต้องรู้!!! ขั้นตอนแปลงร่าง iPhone มาเป็นโมเด็มง่ายๆ เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโน้ตบุ๊ก

สวัสดีครับ สำหรับใครที่สนใจจะใช้ iPhone ที่ได้มีการต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตอยู่แล้วอย่าง EDGE หรือ 3G เพื่อมาเป็นโมเด็มเชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊กในการใช้งานอินเตอร์เน็ต ออนไลน์ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนง่ายๆ ในการเปลี่ยน iPhone มาเป็นโมเด็ม ที่สำคัญเราไม่ต้องลำบากเพื่อทำการเจลเบรก (Jailbreak) และติดตั้งแอพพลิเคชั่นอย่าง NetShare เลยนะครับ ขั้นตอนที่ 1 iPhone ของเราจะต้องเป็น iOS 4.1 ขึ้นไป ซึ่งก็จะมี iPhone 3G / iPhone 3Gs และ iPhone 4 ที่สามารถเป็น iOS 4.1 ได้ โดยมีคุณสมบัติอย่าง “Internet Tethering” ซึ่งในภาพตัวอย่างเราได้ใช้ iOS 4.2.1 ที่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ในขณะนี้ ขั้นตอนที่ 2 โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ของเราไม่ว่าจะเป็นระบบปฎิบัติการ Windows XP / Windows Vista / Windows 7 หรือ Mac OS ต้องทำการติดตั้งโปรแกรม Apple iTunes เสียก่อน เพื่อทำหน้าที่เป็นไดรเวอร์ตัวกลางเชื่อมต่อ (ขณะเชื่อมต่อไม่จำเป็นต้องเปิดโปรแกรมนะครับ) ขั้นตอนที่ 3 หยิบ iPhone ของเราขึ้นมา แล้วทำการเลือกไปที่ Setting > General > Network > Internet Tethering ขั้นตอนที่ 4 เลือกไปที่ On เพื่อเชื่อมต่อ iPhone เข้ากับโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ผ่านทาง Bluetooth หรือ USB ซึ่งถ้าเราเลือก Bluetooth เราก็ต้องทำการจับคู่ (Pairing) ระหว่างโน้ตบุ๊กกับ iPhone ของเรา ส่วนถ้าเป็น USB เราก็เลือกเครือข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่จาก iPhone เท่านั้นเองครับ เห็นไหมครับว่าขั้นตอนในการแปลงร่าง iPhone ตัวเก่งเป็นโมเด็มเพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทำง่ายนิดเดียวเอง ซึ่งความดีความชอบนี้ คงต้องยกให้กับ iOS 4.1 ที่มีความสามารถนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องลำบากต้องมาเจลเบรก หรือลงแอพลิเคชั่นอะไรเพื่อเติมเลย เหมาะมากๆ สำหรับคนที่มีโน้ตบุ๊กและชอบออนไลน์อยู่เป็นประจำ แต่ไม่ชอบเล่นในหน้าจอเล็กๆ อย่าง iPhone หวังว่าเพื่อนๆ คงจะได้นำไปใช้งานจริงกันนะครับ SpecPhone.com

04 Mar 2554 10:08 ผู้ชม: 7324
Lastest News
มีข้อมูลสำคัญ ทำอย่างไรให้ปลอดภัยและจัดเก็บง่ายด้วย
มีข้อมูลสำคัญ ทำอย่างไรให้ปลอดภัยและจัดเก็บง่ายด้วย

การที่จะจัดการกับข้อมูลสำคัญมีอยู่มากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บในโฟลเดอร์ที่มีการเข้ารหัสหรือหาอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บที่มีความปลอดภัย บางครั้งอาจจะใช้วิธี Hidden file ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เองว่าจะเลือกวิธีใด สำคัญมากสำคัญน้อย แต่อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ การใช้วิธีบีบอัดไฟล์ด้วยโปรแกรมที่คุ้นหูคุ้นตากันดีอย่างเช่น WinRAR แต่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น ก็อาจจะใส่ลูกเล่นบางอย่างเข้าไป อย่างเช่น การแบ่งไฟล์และการใส่รหัส ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน1ขั้นแรกให้จัดเตรียมข้อมูลที่ต้องการจะจัดเก็บและเพิ่มความปลอดภัย2ในกรณีที่ติดตั้งโปรแกรม WinRAR แล้ว ให้คลิกขวาบนไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บ แล้วเลือก Add to archive…

20 Sep 2556 09:45 ผู้ชม: 3344
Hot News
สร้าง Bootable Windows 7 USB Flash Drive ด้วย EasyBCD
สร้าง Bootable Windows 7 USB Flash Drive ด้วย EasyBCD

วิธีการติดตั้ง Windows 7 ด้วย USB Flash Drive ผู้ใช้ Windows 7 ก็พอรู้มาบ้างว่ามีวิธีทำได้ และก็มีหลากหลายโปรแกรมช่วยในการทำ วันนี้ผมก็มีอีกวิธีการหนึ่ง ซึ่งยากเลยทำง่ายๆ ตัวช่วยในการทำก็ได้แก่โปรแกรม EasyBCD ปกติโปรแกรมนี้ออกแบบให้ใช้ในการทำ Multi-Boot OS ผู้ที่ใช้ EasyBCD จะรู้ว่า EasyBCD นั้น.ใช้ในการ เพิ่ม เอาออก หรือแก้ไขระบบบูต ซึ่งในความเป็นจริงยังสามารถในการสร้าง บูตให้กับ USB Flash Drive อีกด้วย เพียงแค่คลิก 2-3 คลิก เราก็ได้ USB Flash Drive ที่บูตได้ วิธีการสร้าง Bootable Windows 7 USB Flash Drive ด้วย EasyBCD ก็มีดังนี้ 1.ถ้ายังไม่มีโปรแกรม EasyBCD ก็ไปดาวน์โหลดมาติดตั้งก่อน โดยสามารถดาวน์โหลดได้…. ที่นี่ 2.ต่อมาให้เราเอา USB Flash Drive ที่จะสร้างต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ถ้ามีข้อมูลอยู่ก็ให้เอาออกเก็บไว้ที่อื่นก่อน แล้วทำการฟอร์แม็ต USB Flash Drive โดยคลิกขวาที่ไอคอนของ USB Flash Drive เลือกคำสั่ง Format ให้เลือก File system เป็น 32 Bit   3.ต่อมาให้เปิดโปรแกรม  EasyBCD ขึ้นมา แล้วคลิกที่ Bootloader Setup 4.ที่รายการ Create Bootable External Media ให้เลือก USB Flash Drive ที่จะทำ Bootable จากรายการ Partition:   5.จากนั้นก็คลิก Install BCD โปรแกรมจะทำการสร้างบูตสักครู่ เมื่อเสร็จจะมีหน้าต่างแสดงออกมาให้คลิก Yes ทำการปิดโปรแกรม EasyBCD   6.จากนั้นให้ก็อปปี้ไฟล์ที่อยู่ในแผ่นติดตั้ง Windows 7 ทั้งหมดลงใน USB Flash Drive เมื่อเสร็จเรียบร้อย เราก็จะได้ USB Flash Drive ที่สามารถติดตั้ง Windows 7 ไว้ใช้แล้ว

28 Mar 2554 09:38 ผู้ชม: 7810